ประกันรถยนต์ 3+ กับประกันรถยนต์ 2+ ต่างกันยังไง เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งข้อสงสัยก่อนที่จะเลือกซื้อประกันรถยนต์เพื่อเสริมความคุ้มครองยามเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งแน่นอนประกันรถยนต์ที่ดีที่สุดก็คือ ประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองรอบด้านแต่ก็มักจะมากับราคาที่สูง ทำให้หันไปมองที่ 2+ กับ 3+ ที่ราคาถูกกว่า ซึ่งหากใครตัดสินใจไม่ได้เราจึงนำทั้ง 2 แบบ มาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัด ๆ
ความคุ้มครอง ประกันรถยนต์ 3+ กับประกันรถยนต์ 2+
ประกันรถยนต์ 2+
เป็นประกันรถยนต์ประเภทนี้ คุ้มครองครอบคลุมแทบทุกกรณี ใกล้เคียงกับประกันภัยชั้น 1 เลยก็ว่าได้ จะแตกต่างออกไปเพียงแค่จะคุ้มครองรถชนกับรถเท่านั้นหากเกิดอุบัติเหตุนอกเหนือจากนี้ จะต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เองทั้งหมด ซึ่งประกันชั้น 1 จะคุ้มครองทุกกรณี นอกจากนี้เบี้ยประกัน 2+ ยังมีราคาถูกกว่าโดยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาท
ประกันรถยนต์ 2+ ความคุ้มครองอะไรบ้าง
- คุ้มครองความเสียหายของคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นรถ ทรัพย์สินของคู่กรณี และค่ารักษาพยาบาล
- คุ้มครองค่าเสียหายรถยนต์เรา ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกับรถ
- ค่ารักษาพยาบาลของเรา รวมไปถึงผู้โดยสารภายในรถ
- คุ้มครองรถสูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม (บางกรมธรรม์)
- การคุ้มครองอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ ของบริษัทประกันนั้น ๆ
ประกันรถยนต์ 3+
เหมาะกับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือรถที่มีอายุมากกว่า 10 ขึ้นไป การคุ้มครองคล้ายกับประกันรถยนต์ชั้น 3 แต่มีข้อแตกต่างคือ จะเพิ่มความคุ้มครองให้กับรถของเราในกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชนรถเพิ่มเข้ามา ซึ่งประกันชั้น 3 แบบปกติจะไม่คุ้มครองในส่วนนี้ โดยค่าประกันจะอยู่ที เริ่มต้นอยู่ที่ 6,600 บาท
ประกันรถยนต์ 3+ คุ้มครองด้านบ้าง
- คุ้มครองความเสียหายให้คู่กรณี ทั้งในส่วนของรถ ทรัพย์สิน และค่ารักษาพยาบาล
- จะคุ้มครองค่าเสียหายในกรณีรถชนรถเท่านั้น
- มีค่ารักษาพยาบาลให้กับตัวเรา และผู้โดยสารภายในรถ
- ไม่คุ้มครองกรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
- ความคุ้มครองอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ ของบริษัทประกันนั้น ๆ
ข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง ประกันรถยนต์ 3+ กับ 2+
- ในบางกรมธรรม์จะมีราคาใกล้เคียงกัน
- คุ้มครองในกรณีอุบัติเหตุจากรถชนรถเหมือนกัน
ประกันรถยนต์ 2+ ให้ความคุ้มครองความเสียหายของรถในกรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม แต่ประกันแบบ 3+ ไม่คุ้มครองในส่วนนี้
การประกัน 3+ ไม่ต้องตรวจสภาพรถก่อนที่จะทำประกัน
มาถึงตรงนี้คงจะเข้าใจกันแล้วว่า ประกันรถยนต์ 3+ กับประกันรถยนต์ 2+ ต่างกันยังไง ซึ่งมีข้อปลีกย่อยแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อก็ควรดูจุดประสงค์ของเราเป็นหลัก ให้สอดคล้องต่อการใช้งาน และให้ความคุ้มค่าให้มากที่สุด