ความแตกต่างของโรคไบโพลาร์ กับ โรคหลายบุคลิก

หลายคนอาจสงสัยหรือกำลังสังเกตอาการและพฤติกรรมของตนเอง หรือคนรอบข้างที่มักเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาช่วงๆหนึ่ง บางวันก็เศร้า บางวันก็อารมณ์ หรือบางครั้งอารมณ์ก็เปลี่ยนกะทันหัน ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นอาการป่วยของโรคไบโพลาร์หรือบางคนเรียกว่าเป็นโรคหลายบุคลิก จริงๆแล้วเป็นคนละโรคกัน จะมีอาการไม่เหมือนกัน มาทำความเข้าใจกันให้ชัดๆ

ไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์ แปรปรวนสองขั้ว คือ อะไร 

โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) โดยอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลาย ๆ เดือนก็ได้ 

1.มีอารมณ์ซึมเศร้าเป็นส่วนมาก 

2.ความสนใจหรือความสุขใจในกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง 

3.น้ำหนักลดหรือเพิ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ 

4.นอนไม่หลับหรือหลับมากไปแทบทุกวัน 

5.กระสับกระส่าย หรือ เชื่องช้า 

6.อ่อนเพลียหรือไร้เรี่ยวแรงแทบทุกวัน 

7.รู้สึกตนเองไร้ค่า 

8.สมาธิหรือความสามารถในการคิดอ่านลดลง 

9.คิดถึงเรื่องการตายอยู่เรื่อย ๆ 

โรคหลายบุคลิก  Dissociative Identity Disorder คืออะไร 

โรคหลายบุคลิกจัดเป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป รู้สึกสับสน มีปัญหาด้านความทรงจำ และมีการแปรปรวนด้านบุคลิก อาการที่พบดังนี้  

1.รู้สึกสับสน มีบุคลิกภาพ/อัตลักษณ์มากกว่า 2 แบบ 

2.ความทรงจำขาดหาย สูญเสียความจำ 

3.เคยหมดสติ/ตื่นมาจำไม่ได้ 

4.โกหกเพราะเชื่อว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง 

5.มีของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว 

6.คนแปลกหน้าเข้ามาทักเหมือนรู้จักกัน แต่นึกไม่ออกว่ารู้จักตอนไหน 

7.ถูกเรียกด้วยชื่อที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง 

8.เจอข้อความที่มีลายมือคนอื่น  

9.ได้ยินเสียงคนอื่นในหัว 

10.มองกระจกแล้วจำตัวเองไม่ได้ 

11.รู้สึกเหมือนสิ่งที่เจอไม่ใช่เรื่องจริง 

การรักษาโรคไบโพลาร์และโรคหลายบุคลิก 

สำหรับการรักษาโรคทั้ง 2  ชนิดนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

โรคไบโพลาร์: รักษาด้วยการใช้ยาเป็นหลัก 

โรคหลายบุคลิก: จะใช้วิธีการรักษาหลายแบบในการรักษา เช่น การทำจิตบำบัด การบำบัดความคิดและพฤติกรรม หรือใช้ยาร่วมด้วย 

เราจะเห็นได้ว่าอาการของโรคไบโพลาร์กับโรคหลายบุคลิกนั้นแตกต่างกันอยู่ คราวนี้ลองสังเกตอาการของตัวเองหรือคนรอบข้างที่สงสัยว่าจะเป็นโรคเหล่านี้ แล้วควรพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที อาการที่เป็นอยู่จะได้ไม่รุนแรงไปมากกว่าที่เป็นอย่า